วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

เรืองกล้วยๆ ตอน กล้วยกับการนำมาใช้เป็นยารักษาโรค


กล้วยกับการนำมาใช้เป็นยารักษาโรค


      กล้วยเป็นผลไม้ที่มีเปลือกหุ้มเช่นเดียวกับผลไม้อื่นๆ แต่วิธีการปอกเปลือกกล้วยนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือ เพียงใช้มือเด็ดปลายหรือจุก ก็สามารถปอกเปลือกได้ด้วยมือและรับประทานได้ทันที จึงเป็นผลไม้ที่รับประทานง่าย ดังคำโบราณว่า ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก” นอกจากปอกเปลือกง่ายแล้ว กล้วยสุกเมื่อรับประทานแล้ว ก็จะลื่นลงกระเพาะได้ง่าย และย่อยง่าย ด้วยเหตุที่กล้วยลื่นลงกระเพาะได้ง่าย ทำให้บางคนไม่ค่อยเคี้ยวกล้วยซึ่งเป็นวิธีการที่ผิด การรับประทานกล้วยจำเป็นต้องเคี้ยวให้ละเอียด เพราะกล้วยมีแป้งร้อยละ  ๒๐ - ๒๕  ของเนื้อกล้วย  ถ้าเคี้ยวไม่ละเอียด น้ำย่อยในกระเพาะต้องทำงานหนัก  หากย่อยไม่ทันกล้วยจะอืดในกระเพาะ  อย่างไรก็ตามกระเพาะของคนใช้เวลาในการย่อยกล้วยสั้นกว่าการย่อยส้ม นม กะหล่ำปลี  หรือแอปเปิล  ดังนั้นคนไทยจึงนิยมใช้กล้วยที่ขูดเอาแต่เนื้อ ไม่เอาไส้ บดละเอียดให้ทารกรับประทาน นอกจากทารกแล้ว  คนชราก็รับประทานกล้วยได้ดีเช่นกัน ในกรณีคนหนุ่มสาว กล้วยเหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดความอ้วน เนื่องจากกล้วยมีคุณค่าทางอาหารสูงพอๆ กับมันฝรั่ง แต่มีปริมาณไขมัน คอเลสเตอรอล และเกลือแร่ต่ำ กล้วยมีโซเดียมเพียงเล็กน้อยแต่มีโพแทสเซียมสูง การมีโพแทสเซียมสูงนี้จะช่วยลดความดันโลหิตลงได้ ในประเทศอินเดียมีความเชื่อว่า หากรับประทานกล้วย  ผลต่อวัน จะสามารถลดความดันโลหิตได้ถึงร้อยละ ๑๐ ภายในระยะเวลา ๑ สัปดาห์
         กล้วยยังเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร และท้องเสียบ่อย เพราะสามารถช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ กล้วยเมื่อยังดิบจะมีแป้งมาก  แต่เมื่อสุกแป้งจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล ดังนั้นหากท้องเดิน การกินกล้วยดิบจะช่วยทำให้อาการท้องเดินหยุดได้ และเมื่อเป็นโรคกระเพาะ ให้กินกล้วยที่สุกแล้ว สำหรับกล้วยที่ทำให้สุกด้วยความร้อน วิตามินจะลดลง

       ทารกอายุได้ประมาณ 3 เดือน และพร้อมที่จะรับประทานอาหารอื่นนอกจากนมแม่ได้แล้ว แม่จะเริ่มให้ลูกรับประทานกล้วยควบคู่กับนม เพราะเห็นว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย
กล้วย มีน้ำตาลธรรมชาติถึง 3 ชนิดเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ซูโครส(Sucrose), ฟรุคโตส(Frutose), และ กลูโคส(Glucose) รวมไปถึงพวกไฟเบอร์หรือเส้นใยต่างๆ ซึ่งทำให้กล้วยเป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ที่ร่างกายสามารถนำมาใช้ได้ทันที จากการวิจัย(ไม่ใช่ของ Dr.Thitinan นะครับ)พบว่ากล้วยเพียงแค่ 2 ลูกก็ให้พลังงานเพียงพอสำหรับการทำงานหนักเป็นเวลา 90 นาทีได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่กล้วยเป็นผลไม้คู่กายอันดับหนึ่งของพวกนักกีฬาชั้นนำ ระดับโลก นอกจากกล้วยจะให้พลังงานมากมายแล้วกล้วยยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และเพิ่มความแข็งแรงสมบูรณ์ให้กับร่างกายของเราได้อีกด้วย อาทิเช่น

โรคซึมเศร้า
จาก การสำรวจโดย MIND ในกลุ่มของผู้ที่มีอาการซึมเศร้า หลายๆคนรู้สึกดีขึ้นเมื่อทานกล้วยเข้าไปนี่เป็นเพราะว่ากล้วยมีส่วนประกอบ ของ Tryptophan ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราจะเปลี่ยนให้เป็น Serotonin ที่รู้จักกันดีว่าจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ทำให้อารมณ์ดีและมีความสุขมากขึ้น

PMS(Premenstrul Sysdrome(อาการแปลกๆที่ผู้หญิงเป็นก่อนมีประจำเดือน)
ลืม การกินยาไปได้เลย กินกล้วยกันดีกว่า กล้วยมีส่วนประกอบของวิตามิน B6 ที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณผู้หญิงให้คงที่ซึ่งมีผลไปถึงอารมณ์ ของคุณด้วย

โรคโลหิตจาง
กล้วยมีธาตุเหล็กอยู่มาก(คาดว่าในอนาคต จะนำกล้วยไปใช้ผลิตตัวถังรถยนต์และอาวุธปืน) ทำให้สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยรักษาอาการโลหิตจางได้
โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคเส้นโลหิตในสมองแตก
ใช้เปลือกกล้วยหอมสดมาต้มกับน้ำสำหรับดื่ม และสามารถที่ต้มไว้ดื่มเป็นประจำได้ 

ท้องเดิน หรือ ท้องเสียได้
ในกล้วยน้ำว้าจะมีสารเทนนิน ซึ่งสามารถช่วยรักษาอาการท้องเสียแบบไม่รุนแรงได้ โดยการน้ำ กล้วยน้ำว้าดิบ หรือ กล้วยน้ำว้าห่าม มาปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นบางๆ ใส่น้ำพอท่วมยา ต้มนานครึ่งชั่วโมง ดื่มครั้งละ 1/2- 1 ถ้วยแก้ว ให้ดื่มทุกครั้งที่ถ่าย หรือทุกๆ 1-2 ชม. ใน 4-5 ชม.แรก หลังจากนั้นให้ดื่มทุกๆ 3-4 ชม. หรือ วันละ 3-4 ครั้ง

  โรคริดสีดวงทวาร แก้อาการท้องผูก เป็นไข้ตัวร้อนหรือเจ็บคอ โดยรับประทานกล้วยน้ำว้า วันละ 1-2 ผล เป็นประจำ

อาการเจ็บเสียดที่หน้าอก
กล้วยช่วยให้เกิดปฏิกิริยาในร่างกายที่จะไปหักล้างพวกกรดในกระเพาะอาหารที่มีเยอะเกินไปได้การกินกล้วยจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดนี้ได้

ลดอาการไข้และอาการไอเรื้อรังได้ ใช้กล้วยหอมสุกหรือกล้วยน้ำว้าสุกต้มกับน้ำตาลทราย แล้วรับประทานติดต่อกัน จนกว่าจะหาย
พลังสมองนัก เรียนกว่า 200 คนของโรงเรียน Twickenham กินกล้วยพร้อมอาหารเช้า ช่วงพัก และอาหารกลางวันเพื่อช่วยเพิ่มพลังสมองจากการวิจัยพบว่ากล้วยซึ่งอุดมไปด้วย โปแตสเซียมนี้ช่วยให้พวกนักเรียนนู้สึกตื่นตัวมากขึ้นทำให้เรียนดีขึ้นในที่ สุด


-อาการแฮงค์(เมาค้าง)
หนึ่งในวิธีรักษาอาการแฮงค์ให้เร็ว ที่สุดก็คือการกิน Banana milkshakeผสมน้ำผึ้ง กล้วยช่วยให้กระเพาะอาหารของเรากลับมาอยู่ในสภาพปกติน้ำผึ้งช่วยเพิ่มระดับ น้ำตาลในเลือด และนมจะช่วยเพิ่มน้ำให้กับร่างกายของคุณด้วย
-ระบบประสาทกล้วยมีวิตามิน B สูงซึ่งช่วยในการทำงานของระบบประสาทของเรา


-Morning Sickness (อาการคลื่นไส้และอาเจียนเวลาตื่นนอนตอนเช้า จะเป็นมากในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ระยะแรก)
การกินกล้วยเป็นของว่างระหว่างมื้อจะช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ ซึ่งสามารถช่วยลดอาการ Morning Sickness ได้

-การสูบบุหรี่
กล้วย สามารถช่วยคนที่ต้องการเลิกบุหรี่ได้ด้วยกล้วยมีวิตามิน B6 และ B12 รวมไปถึงโปแตสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายจากผลของการเลิก นิโคตินได้

-น้ำหนักเกินเพราะการทำงาน
จากการศึกษาของสถาบันด้าน จิตวิทยาในออสเตรียพบว่าความกดดันที่เกิดจากการทำงานนำไปสู่พฤติกรรมการกิน ที่ไม่ดีเมื่อพิจารณาผู้ป่วยกว่า 5000 คน นักวิจัยพบว่าคนที่เป็นโรคอ้วนส่วนใหญ่ทำงานที่มีความกดดันสูง รายงานนั้นสรุปว่าถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการกินอย่างไม่ยั้งคิด เราต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเลือกทานของว่างที่มีคาร์โบไฮเดรตเยอะๆ ทุกสองชั่วโมง...จะอะไรซะอีก...ก็กล้วยไง

-ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย
หลายๆ ท้องถิ่นเห็นว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยทำให้ทั้งอุณหภูมิในร่างกายและอารมณ์ ของคนที่กำลังจะเป็นแม่เย็นลงได้ ในประเทศไทยผู้หญิงที่ตั้งครรภ์มักจะทานกล้วยเพื่อให้แน่ใจว่าลูกของพวกเธอ จะเกิดมาด้วยอุณหภูมิที่เย็น

-โรคแผลในกระเพาะอาหาร
กล้วยเป็น อาหารที่ใช้ต่อสู้กับอาการผิดปกติต่างๆในระบบทางเดินอาหารได้เนื่องจากกล้วย มีผิวสัมผัสที่นุ่มและลื่น กล้วยเป็นผลไม้ชนิดเดียวที่สามารถทานได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ที่ เป็นแผลเรื้อรัง กล้วยยังช่วยปรับภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหารให้กลับสู่ปกติได้ รวมทั้งช่วยลดอาการระคายเคืองเพราะกล้วยจะช่วยเคลือบผิวของกระเพาะอาหารได้ 
ใช้กล้วยหักมุกดิบบดเป็นผงรับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา วันละ 4 ครั้ง หรือใช้กล้วยน้ำว้าสุกงอม รับประทานครั้งละ 2 ผลก่อนอาหาร 1-2 ชั่วโมง วันละ 3 ครั้ง จะช่วยผ่อนคลายหนักเป็นเบาได้

บิดเรื้อรัง  
ใช้กล้วยห่ามครึ่งผลผสมกับน้ำมะขามเปียก และเกลือ 1 ช้อนชา รับประทานวันละ 3 ครั้ง ๆ ละ 1 ช้อนชา

ช่วยเรื่องกลิ่นปาก ทำให้ลดกลิ่นปากได้ดี
วิธีรับประทานคือทานกล้วยน้ำว้าหลังตื่นนอนทันที แล้วค่อยแปรงฟัน จะช่วยลดกลิ่นปากได้

ยางกล้วยจากใบใช้ห้ามเลือด โดยหยดยางลงบนแผล

ถ้าต้องการมีอายุวัฒนะ
อาจใช้กล้วยสุกงอมกับน้ำผึ้งเดือนห้า รับประทานครั้งละ 1-2 ผล หรือกล้วย สุกงอมหนึ่งหวีผสมกับมะตูมสุก 5 ผล บดผสมกับน้ำผึ้งเดือนห้า ปั้นเป็นเม็ดเท่าเมล็ดพุทรา รับประทาน ครั้งละ 1-2 เม็ดก่อนนอน หรือใช้กล้วยน้ำ หรือกล้วยน้ำว้าสุกงอมแช่น้ำผึ้ง 20 วัน แล้วรับประทานวันละ 1 ผลเป็นต้น

แก้ส้นเท้าแตก
 ใช้เปลือกหรือเนื้อกล้วยที่สุกงอม ทาตรงบริเวณที่แตก เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวตรงส่วนนั้น


เปลือกกล้วยน้ำว้า ช่วยบรรเทาอาการคันอันเนื่องมาจากแมลงกัดต่อย และผื่นแดงจากอาการคันได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ในการ ต้านเชื้อรา และ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดหนอง
       นอกจากจะใช้เป็นยารักษาโรคดังกล่าวมาแล้วกล้วยยังนำมาเสริมสร้างสุขภาพของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ เช่น  คั้นน้ำจากต้นกล้วยใช้ทากันผมร่วงก็ได้ เปลือกกล้วยหอมสุกใช้ด้านในถูส้นเท้าหรือฝ่าเท้าที่แตก วันละ 3-4 ครั้ง  เหง้ากล้วยน้ำว้า 1 กำมือ ต้ม 10-15 นาที ดื่มวันละ 4-5 ครั้ง ทำให้ถ่ายปัสสาวะดีขึ้น
ข้อเสนอแนะ : รับประทานกล้วยดิบแล้ว ถ้ามีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ป้องกันโดยใช้กล้วยดิบร่วมกับขิงหรือกระวาน

ไม่มีความคิดเห็น: