กาแฟหรือ Coffee มีชื่อทางพฤกษศาสตร์คือ Coffee Arabica L. อยู่ในวงค์ Rubica Ceae และมีชื่อสามัญว่า Arabica Coffee, Common Coffee กาแฟเติบโตได้ดีในที่สูงอากาศชื้น กาแฟเป็นพืชที่ขึ้นตามป่าธรรมชาติมาก่อนที่มนุษย์จะนำออกมาจากป่ามาเป็นพืชทางการค้าหรือพืชเศรษฐกิจ มีผู้นิยมบริโภคทั่วทุกมุมโลก สร้างธุรกิจได้หลากหลายแขนง มีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกาแฟเป็นจำนวนมาก
กาแฟ (Coffee) เป็นพืชที่มีสารออกฤทธิ์ต่อจิตและระบบประสาท ในกาแฟจะมีสารคาเฟอีน โดยในแต่ละส่วนของต้นกาแฟจะมีสารคาเฟอีนที่แตกต่างกันออกไปเช่น ในใบกาแฟมีคาเฟอีนอยู่ประมาณ 1 - 1.25% เปลือกและผลชั้นนอกของกาแฟมีคาเฟอีนและกรดมอลลิค แมนไนท์ น้ำตาล ส่วนเมล็ดกาแฟมีคาเฟอีนอยู่ประมาณ 0.72 - 2.43% กรดมอลลิค กรดซิตริก โปรตีน กลูโคส กรด coffeo-iannic และน้ำมันหอมระเหยต่างๆ
นอกจากนี้กาแฟยังมีสรรพคุณทางยา กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง แก้ง่วงนอน กระตุ้นระบบหายใจ ช่วยการทำงานของกระเพาะอาหารและไต ขับปัสสาวะ ช่วยย่อยอาหาร ในระดับความเข้มข้นหนึ่งๆกาแฟยังช่วยล้างฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ได้ และบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ในระดับหนึ่ง กาแฟให้ทั้งประโยชน์หลายอย่างในขณะเดียวกันก็ให้โทษสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด
กาแฟเป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดปานกลาง สูงประมาณ 3-4 เมตร ใบสีเขียวแตกออกจากข้อเป็นคู่ๆ ดอกมีสีขาวบริสุทธิ์ กลิ่นหอม
ต้นกาแฟในประเทศไทยเริ่มออกดอกในเดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ และเก็บเกี่ยวได้ในช่วง พฤศจิกายน - มีนาคม ระยะเวลาตั้งแต่การออกดอกถึงการเก็บเกี่ยวใช้เวลาประมาณ 8-12 เดือน หลังจากปลูกกาแฟได้ 2-3 ปี กาแฟจะเริ่มออกดอกและติดผล ผลของกาแฟเรียกว่า “Coffee Berry”
“Coffee Berry” มีลักษณะค่อนข้างกลม ขณะที่ผลยังอ่อนมีสีเขียว และเมื่อผลแก่จัดจะมีสีแดง ในแต่ละข้อของกิ่งกาแฟติดผลประมาณ 10-60 ผล แต่ละผลมีเมล็ดกาแฟอยู่ 2 เมล็ด
ในโลกนี้กาแฟมีหลากหลายสายพันธุ์ กาแฟบางสายพันธุ์ก็ได้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว การเรียกกาแฟในแต่ละสายพันธุ์จะเรียกตามพื้นที่ปลูกบ้างหรือพื้นที่ที่พบพันธุ์ของกาแฟนั้นในครั้งแรกบ้าง
กาแฟที่ปลูกเป็นการค้าในโลกนี้ แบ่งพันธุ์เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้อยู่ 4 กลุ่มคือ..
1.กาแฟพันธุ์อราบิก้า (Arabica)
2.กาแฟพันธุ์โรบัสต้า (Robusta)
3.กาแฟพันธุ์เอ็กเซลซ่า (Excelsa)
4.กาแฟพันธุ์ลิเบอริก้า
๐ กาแฟพันธุ์อราบิก้า เป็นกาแฟที่มีความสำคัญมากที่สุด ซึ่งมีผลผลิตประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ของกาแฟที่ปลูกทั่วโลก
๐ กาแฟโรบัสต้า มีความสำคัญรองลงมาจากกาแฟอราบิก้า และ คุณภาพด้วยกว่าอราบิก้า
๐ กาแฟพันธุ์เอ็กเซลซ่า ไม่มีความสำคัญและปริมาณในทางการค้า เพราะคุณภาพไม่ดี มีกลิ่นเหม็นเขียว
๐ กาแฟพันธุ์ลิเบอริก้า เป็นกาแฟพื้นเมืองของแองโกล่า คุณภาพสารกาแฟไม่ดีพอ ไม่เป็นที่สนใจของตลาดและนักดื่ม
สรุปแล้วก็คือตลาดกาแฟสากลทั่วโลกนี้ มีกาแฟพันธุ์อราบิก้า และ โรบัสต้า สองสายพันธุ์ที่มีจำหน่ายโดยทั่วไป.
กาแฟพันธุ์โรบัสต้า (Robusta)
ปลูกในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่มากนัก ส่วนใหญ่ปลูกในประเทศแถบร้อนชื้น มีรสชาติเข้มข้น หอมฉุนกว่ากาแฟพันธุ์อาราบิก้า มีสัดส่วน ของผลผลิตกาแฟทั่วโลกถึง 25% กาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า เป็นสายพันธุ์ที่มีความทนทานต้านทานโรคสูง ปลูกง่าย ให้ผลผลิตต่อไร่สูง การบำรุงรักษาทำได้ง่าย กาแฟสายพันธุ์นี้มีปริมาณของคาเฟอีนประมาณ 2% นิยมนำไปทำเป็นกาแฟผงหรือกาแฟสำเร็จรูป (Instant Coffee) รวมไปถึงการนำไปผสมกับสายพันธุ์อื่นเพื่อให้มีรสชาติ กลิ่น ที่แปลกไปจากเดิมหรือที่เรียกว่าเบลนด์กาแฟนั่นเอง
ปลูกในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่มากนัก ส่วนใหญ่ปลูกในประเทศแถบร้อนชื้น มีรสชาติเข้มข้น หอมฉุนกว่ากาแฟพันธุ์อาราบิก้า มีสัดส่วน ของผลผลิตกาแฟทั่วโลกถึง 25% กาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า เป็นสายพันธุ์ที่มีความทนทานต้านทานโรคสูง ปลูกง่าย ให้ผลผลิตต่อไร่สูง การบำรุงรักษาทำได้ง่าย กาแฟสายพันธุ์นี้มีปริมาณของคาเฟอีนประมาณ 2% นิยมนำไปทำเป็นกาแฟผงหรือกาแฟสำเร็จรูป (Instant Coffee) รวมไปถึงการนำไปผสมกับสายพันธุ์อื่นเพื่อให้มีรสชาติ กลิ่น ที่แปลกไปจากเดิมหรือที่เรียกว่าเบลนด์กาแฟนั่นเอง
กาแฟพันธุ์ไลเบริกา(Libelica)
เป็นพันธุ์กาแฟที่มาจากแถบแอฟริกา การปลูกและการดูแลรักษาทำได้ง่ายเหมือนโรบัสต้า แต่ราคาจะไม่ดีเท่าอาราบิก้า ผู้คนนิยมดื่มกาแฟ พันธุ์นี้น้อยกว่าสองพันธุ์แรก ส่วนมากจะนำกาแฟพันธุ์นี้ไปปรุงพิเศษหรือการผสมรวมกับกาแฟพันธุ์อื่นนั่นเอง เพื่อให้ได้รสชาติและกลิ่นตามความต้องการดื่มของแต่ละคน
กาแฟพันธุ์อาราบิก้า(Arabica)
ถือเป็นที่สุดของกาแฟ เรียกว่าเป็นราชินีอยุ่บนยอดดอยได้เลยเพราะกาแฟพันธุ์อาราบิก้านี้ปลูกและดูแลรักษาค่อนข้างยากลำบากต้องปลูกในที่สูงและอุณหภูมิเหมาะสมจึงจะได้กาแฟรสดีไม่เพี้ยนไปจากพันธุ์ดั้งเดิม โดยความสูงต้องตั้งแต่ 1000 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเลและมีความลาดเอียงของพื้นที่ปลูกไม่เกิน 30% อุณหภูมิที่พอเหมาะจะอยู่ที่ 15 - 25องศาเซลเซียส และมีความชื้นสัมพัทธ์มากกว่า 60%
ถือเป็นที่สุดของกาแฟ เรียกว่าเป็นราชินีอยุ่บนยอดดอยได้เลยเพราะกาแฟพันธุ์อาราบิก้านี้ปลูกและดูแลรักษาค่อนข้างยากลำบากต้องปลูกในที่สูงและอุณหภูมิเหมาะสมจึงจะได้กาแฟรสดีไม่เพี้ยนไปจากพันธุ์ดั้งเดิม โดยความสูงต้องตั้งแต่ 1000 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเลและมีความลาดเอียงของพื้นที่ปลูกไม่เกิน 30% อุณหภูมิที่พอเหมาะจะอยู่ที่ 15 - 25องศาเซลเซียส และมีความชื้นสัมพัทธ์มากกว่า 60%
รสหอมกลมกล่อม ในเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิก้ามีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่าพันธุ์โรบัสต้า ประมาณ 1 เท่า ผลผลิตของกาแฟทั่วโลกเป็น กาแฟพันธุ์อราบิก้า 75% กาแฟอาราบิก้านิยมนำมาคั่ว บด และชงโดยการกรองกากออกหรือที่ปัจจุบันนิยมเรียกว่า "กาแฟสด" นั่นเอง กาแฟพันธุ์อาราบิก้ามีปริมาณคาเฟอีนอยู่ประมาณ 1% แต่เป็นพันธุ์กาแฟที่มีผู้คนนิยมดื่มสูงกว่าพันธุ์อื่นๆ ราคาก็ค่อนข้างแพงกว่าพันธุ์อื่น
สายพันธุ์แท้ของกาแฟอาราบีก้า(Arabica coffee varieties)
กาแฟอาราบิก้ามีโครโมโซม ที่สามารถผสมตัวเองได้ ทำให้มีการผสมภายในสายพันธุ์ (inbreeding)โดยไม่ทำให้เกิดผลเสีย แต่อาจจะมีการแตกเหล่าขึ้นได้ เกิดเป็นสายพันธุ์ต่างๆ หลากหลาย พอแยกพันธุ์สำคัญได้ดังนี้
กาแฟอาราบิก้ามีโครโมโซม ที่สามารถผสมตัวเองได้ ทำให้มีการผสมภายในสายพันธุ์ (inbreeding)โดยไม่ทำให้เกิดผลเสีย แต่อาจจะมีการแตกเหล่าขึ้นได้ เกิดเป็นสายพันธุ์ต่างๆ หลากหลาย พอแยกพันธุ์สำคัญได้ดังนี้
- พันธุ์คาทูร่า ซึ่งเป็นสายพันธุ์ของกาแฟอาราบิก้าดั้งเดิม
- พันธุ์ทิปปิก้า (Typica) มีลักษณะเด่นยอดเป็นสีทองแดง ติดลูกห่างระหว่างข้อ มีใบเล็กเรียบ เจริญเติบโตเร็ว แต่ไม่ทนต่อโรค ฯลฯ เป็นพันธุ์ดั้งเดิม ต้นกำเนิดของกาแฟอาราบิก้าเริ่มปลูกในเยเมน แล้วแพร่หลายไปสู่ประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย อเมริกาใต้ ฟิลิปปินส์และฮาวาย พันธุ์บลูเมาเทน (Bule Mountion) กลายพันธุ์มาจากพันธุ์ทิปปิก้า นำไปปลูกที่บลูเมาเทนในจาไมก้ามีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมบนภูเขาที่สูง เป็นกาแฟที่มีคุณภาพและรสชาติดีมาก เป็นที่ยอมรับของตลาดผู้บริโภค ถือว่าเป็นกาแฟมีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของโลก จึงมีราคาแพงที่สุดเช่นกัน
- พันธุ์ทิปปิก้า (Typica) มีลักษณะเด่นยอดเป็นสีทองแดง ติดลูกห่างระหว่างข้อ มีใบเล็กเรียบ เจริญเติบโตเร็ว แต่ไม่ทนต่อโรค ฯลฯ เป็นพันธุ์ดั้งเดิม ต้นกำเนิดของกาแฟอาราบิก้าเริ่มปลูกในเยเมน แล้วแพร่หลายไปสู่ประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย อเมริกาใต้ ฟิลิปปินส์และฮาวาย พันธุ์บลูเมาเทน (Bule Mountion) กลายพันธุ์มาจากพันธุ์ทิปปิก้า นำไปปลูกที่บลูเมาเทนในจาไมก้ามีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมบนภูเขาที่สูง เป็นกาแฟที่มีคุณภาพและรสชาติดีมาก เป็นที่ยอมรับของตลาดผู้บริโภค ถือว่าเป็นกาแฟมีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของโลก จึงมีราคาแพงที่สุดเช่นกัน
- พันธุ์มอกก้า (Mocha หรือ Mokka) เป็นกาแฟส่งออกผ่านท่าเรือโมช่า(Mocha) ใช้ชื่อการค้าว่า ม็อกกา (Mokka) ใประเทศอินโดนีเซีย มีความแตกต่างอย่างมากจากพันธุ์ที่ปลูกในแหล่งเดิม มีเอกลักษณ์กลิ่นหอมผลไม้คล้ายโกโก้ อย่างไรก็ตามพันธุ์นี้มีผลทางเศรษฐกิจน้อยมาก เพราะมีปริมาณผลผลิตจำกัดที่ออกสู่ตลาด
- พันธุ์โคน่า (Kona) เป็นที่รู้จักดีสำหรับคอกาแฟในคุณภาพและรสชาติที่ติดอันดับต้นๆของกาแฟทั่วโลก ตามรูปแบบของกาแฟพันธุ์ทิปปิก้า ได้นำมาจากเมืองริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล มาปลูกในเมืองโคน่า ประเทศฮาวาย ภายใต้ชื่อการค้า "ฮาวายโคน่า"มีราคาที่แพงที่สุดในตลาดโลกเช่นเดียวกับ บลูเมาเทน
- พันธุ์เบอร์บอน
- พันธุ์อิคาทู
- พันธุ์มันโดโนโว
- พันธุ์คาทุย
- พันธุ์คาติมอร์
- พันธุ์โคน่า (Kona) เป็นที่รู้จักดีสำหรับคอกาแฟในคุณภาพและรสชาติที่ติดอันดับต้นๆของกาแฟทั่วโลก ตามรูปแบบของกาแฟพันธุ์ทิปปิก้า ได้นำมาจากเมืองริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล มาปลูกในเมืองโคน่า ประเทศฮาวาย ภายใต้ชื่อการค้า "ฮาวายโคน่า"มีราคาที่แพงที่สุดในตลาดโลกเช่นเดียวกับ บลูเมาเทน
- พันธุ์เบอร์บอน
- พันธุ์อิคาทู
- พันธุ์มันโดโนโว
- พันธุ์คาทุย
- พันธุ์คาติมอร์
กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก มูลค่าการซื้อขายในตลาดโลกเป็นลำดับที่สองรองจากน้ำมันปิโตเลียม รายได้ของประชากรมากกว่า 50 ประเทศขึ้นอยู่กับกาแฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบลาตินอเมริกาและแอฟริกา กาแฟอาราบิก้าส่วนใหญ่ จะปลูกกันมากในประเทศแถบลาตินอเมริกา เช่น บราซิล โคลอมเบีย คอสตาริก้า กัวเตมาลา เม็กซิโก เอลซัลวาดอร์ฯ ในทวีปเอเชียประเทศที่ปลูกกาแฟอาราบิก้า ได้แก่ อินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และไทย แต่เป็นปริมาณที่ยังไม่มากนัก เมื่อเทียบกับแหล่งอื่นๆ ของโลก
ในประเทศไทยมีการผลิตกาแฟทั้งสิ้น 2 สายพันธุ์ ได้แก่ กาแฟพันธุ์โรบัสต้า (Robusta coffee) ซึ่งเพาะปลูกมากแถบจังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี กระบี่ และนครศรีธรรมราช คิดเป็นปริมาณประมาณปีละ 80,000 ตัน และกาแฟพันธุ์อาราบิก้า (Arabica coffee) เพาะปลูกมากแถบจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และตาก ซึ่งเป็นพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลและอากาศเย็น ซึ่งคิดเป็นปริมาณปีละประมาณ 500 ตัน
ไม่มีสัญลักษณ์ = ตัวเลขอย่างเป็นทางการ, F = ประมาณการขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ, * = ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ กึ่งทางการ, A = สถิติรวม
ผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ 10 อันดับของโลก - 11 มิถุนายน 2008 | |||
---|---|---|---|
ประเทศ | ปริมาณการผลิต (เมตริกตัน)[29] | ปริมาณการผลิต (ถุง)[30] | หมายเหตุ |
บราซิล | 17,000,000 | 36,070 | |
เวียดนาม | 15,580,000 | 18,000 | * |
โคลอมเบีย | 9,400,000 | 12,400 | F |
อินโดนีเซีย | 2,770,554 | 6,446 | * |
เอธิโอเปีย | 1,705,446 | 5,733 | * |
เม็กซิโก | 962,000 | 4,500 | F |
อินเดีย | 954,000 | 4,367 | F |
เปรู | 677,000 | 4,250 | ประมาณการ ปี 2008 |
กัวเตมาลา | 568,000 | 4,000 | F |
ฮอนดูรัส | 370,000 | 3,833 | F |
โลก | 7,742,675 | 118,920 | A |
ไม่มีสัญลักษณ์ = ตัวเลขอย่างเป็นทางการ, F = ประมาณการขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ, * = ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ กึ่งทางการ, A = สถิติรวม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น