วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตำนานกาแฟ ตอน ลาเต้ และ ลาเต้อาร์ท


แต่ในประเทศอื่นๆ จะเข้าใจในฐานะกาแฟใส่นม  ชื่อเต็มๆของลาเต้ คือ “caffè e latte” แต่เราๆนิยมเรียกกันสั้นๆว่า Latte นั่นเอง  อีกชื่อที่ใกล้เคียงกัน คือ “café au lait” เป็นภาษาฝรั่งเศส ซึ่งหมายถึงกาแฟใส่นมเช่นกัน

คำว่า ลาเต้ (Latte) มาจากภาษาอิตาลี แปลว่า “นม”  ไม่แปลก ถ้าเราไปที่อิตาลี แล้วบอก  บาริสต้าว่า Latte แก้วนึง คุณจะได้นมสดร้อนแก้วนึงจริงๆ!!


 ลาเต้ ต่างจาก คาปูชิโน ตรงไหน?

                กาแฟทั้งสองชนิด เป็นกาแฟ ชนิดที่ใส่นมทานเหมือนกัน จะต่างกันตรงที่ปริมาณนม และฟองนมบนหน้ากาแฟโดยส่วนผสมของลาเต้ จะประกอบด้วยโดยการเท  shot espresso 1/3 ส่วน
และนมร้อนอีก 2/3 ส่วน ลงในถ้วยพร้อมๆ กัน และจะหยอดโฟมนมหนาประมาณ 1 ซม. ทับข้างบน


ส่วนคาปูชิโน จะประกอบด้วย อัตราส่วนของ shot espresso 1/3 ส่วน ผสมกับนมสตีม (นมร้อนผ่านไอน้ำ) 1/3 ส่วน และนมตีเป็นโฟมละเอียด 1/3 ส่วนลอยอยู่ด้านบน นอกจากนั้นอาจโรยหน้าด้วยผงชินาม่อนหรือ ผงโกโก้เล็กน้อยตามความชอบ 

คาปูชิโน จะให้รสกาแฟที่เข้มข้นกว่าลาเต้ และกลิ่นกาแฟที่แรงกว่าลาเต้  คนที่ชอบทานคาปูชิโน จะละเลียดอารมณ์กับฟองนมหนานุ่มนั่นเอง



ต้นกำเนิด Latte Art

                ลาเต้อาร์ท เกิดขึ้นครั้งแรกที่อิตาลี ต้นกำเนิดวัฒนธรรมการทานกาแฟนั่นเอง  ด้วยความที่อิตาลีเป็นเมืองแห่งศิลปะชั้นครู Barista ของที่นี่ จะเป็นผู้ที่มีวัยวุฒิและมีประสบการณ์โชกโชนแล้ว
เมื่อเราไปบาร์ของที่นั่น จะไม่ค่อยพบวัยรุ่นทำงานชงกาแฟสักเท่าไหร่

                ด้วยเหตุนี้เองคนอิตาเลียนจึงเป็นคนที่มีศิลปะอยู่ในหัวใจ ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรเป็นศิลปะไปหมดทำให้บาริสต้า เกิดความคิดในการสร้างลวดลายบนเครื่องดื่มของเค้า จากการเทฟองนมลงในกาแฟที่ทำอยู่ทุกวันเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้า จากนั้นลาเต้ อาร์ท ก็เริ่มเป็นที่แพร่หลาย ไปทั่วยุโรป อเมริกา และไทยเราด้วย

   
การทำลาเต้อาร์ท มีด้วยกัน 3 แบบ 



1 แบบ Free Pour  หรือการเทอิสระ  เทคนิคลาเต้อาร์ทแบบนี้ต้องอาศัยความชำนาญ ของบาริสต้าอย่างมากทั้งความนิ่งของมือ สมาธิ การจับจังหวะโดยการเทนมลงในถ้วยกาแฟที่มี เอสเพรสโซ ชอต อยู่ในถ้วย ด้วยลักษณะของการส่ายข้อมืออย่างเป็นจังหวะ จนเกิดเป็นลวดลายต่างๆ



ลวดลายที่เกิดการจาก Free pour จะมีหลักๆด้วยกัน 2ลายที่เป็นที่นิยม

                                1.1 Rosetta หรือลายใบไม้

 
   1.2 Heart ลายหัวใจ  
2. แบบ Drag หรือการลากเทคนิคการลาก การดเขี่ย การวาด สร้างลาย หยอด เป็นเทคนิคที่ง่าย ใครๆก็สามารถทำได้ไม่ต้องอาศัยเทคนิคมากๆ ต้องอาศัยขวดซอส ไม่ว่าจะเป็นชอกโกแลต หรือคาราเมล อีกทั้งอุปกรณ์การลาก ได้แก่ แท่งคอกเทล หรือไม้จิ้มฟันก็ได้
2.1 การลากลาเต้อาร์ทสามารถสร้างลวดลายได้หลากหลายมาก ตามแต่จินตนาการ  แต่ก็มีลายที่นิยมกันอยู่ไม่กี่ลาย ได้แก่ 
                                                                    – ลายดอกเบญมาศ



 - ลายใยแมงมุม




    3. แบบผสม  คือผสมเทคนิคทั้งการ เท และ ลากเข้าด้วยกัน  เป็นการสร้างลายที่ยากขึ้น การทำประเภทนี้ต้องอาศัยเทคนิค และความเร็วต้องทำแข่งกับเวลา ที่กาแฟจะเย็นก่อนเสริฟถึงมือลูกค้า 

  ลายแบบขั้น Advance
                                                                      
ลายนักกีฬาโต้คลื่น



ลายกระต่ายน้อย








                              

             
                  

ไม่มีความคิดเห็น: